Description
Digital Data
ภาพจิตรกรรมมุมขวาล่างของฝาผนังด้านทิศใต้ของมุขทิศตะวันตก เป็นเหตุการณ์หลังจากทรงแสดงธรรมสั่งสอนเยี่ยมเยียนพญาร้อยเอ็ดแล้วจากนั้นจึงได้ ออกเดินทางสู่ป่าหิมพานต์เพื่อตามหารอยเท้าช้างผู้เป็นบิดา ฝ่ายพระอินทร์ทรงทอดพระเนตรเห็นความยากลำบากและพระตั้งมั่นพระทัย ของเจ้าคัทธณะกุมารก็โสมนัส จึงได้แปลงองค์เป็นช้างในป่าหิมพานต์ เจ้าคัทธณะกุมารเมื่อทอดพระเนตรก็ทรงรู้ว่าเป็นบิดาของตน จึงเข้าไปและซักถามเรื่องราวต่างๆ พญาช้างได้ดำรัสสั่งสอนเจ้าคัทธณะกุมารแล้ว ก็ขอลาไปโดยมอบงาวิเศษให้ไว้ สามารถใช้เป็นพาหนะเหาะเหินไปที่ต่าง ๆ ได้
ในบริเวณนี้มีอักษรล้านนากำกับอยู่ อ่านได้ความว่า “เจ้าคัทธณะมาทวยหาพ่อ ลวดถอดเอางาขี่เมือทางอากาศหนี้แล” แปลได้ว่า “เจ้าคัทธณะกุมารมาได้พบพระบิดา พระบิดา(พระอินทร์)ถอดงาให้ เจ้าคัทธณะกุมารขี่งาเหาะกลับเมืองไป” ในภาพมุมขวาล่างเจ้าคัทธณะกุมารได้เข้าไปกอดพระบิดา(พระอินทร์) ที่แปลงเป็นช้าง และได้ถอดงาให้เจ้าคัทธณะกุมาร ใช้ในการเหาะเหินเดินไปในอากาศได้ ส่วนภาพฝั่งซ้ายเป็นตอนที่เจเาคัทธณะกุมารขี่งาช้างวิเศษเหาะกลับเมืองไป
เจ้าคัทธณะกุมารทรงเครื่องแบบกษัตริย์ของไทยหรือ การแต่งกายแบบในละครนาฏศิลป์ของทางกรุงเทพคือ สวมพระมหามงกุฎหรือพระชฎา มีกรรเจียกคือเครื่องประดับหูมีรูปเป็นกระหนก สวมกรองศอและอินทรธนูทับบนเสื้อแขนยาว มีทับทรวงและสายสังวาลสะพายแล่ง สวมพาหุรัดที่ต้นแขน นุ่งสนับเพลาคือกางเกงขายาวประมาณครึ่งแข้ง นุ่งโจงกระเบนทับที่เป็นผ้าที่มีลวดลาย รัดด้วยปั้นเหน่งหรือเข็มขัด มีผ้าห้อยหน้าหรือชายไหวระหว่างชายแครง มีแถบผ้าปลายงอนหุ้มปลายขากางเกงทั้ง 2 ข้าง ปัจจุบันยังหมายถึงกางเกงด้วย ราชาศัพท์ใช้ว่า พระสนับเพลา เหน็บดาบศรีกัญไชยไว้ที่เอว และในภาพฝั่งซ้ายทรงถือไม้เท้าต้นชี้ตายปลายชี้เป็น
Physical Data