Description
Digital Data
จิตรกรรมเริ่มเล่าเรื่องที่ด้านซ้าย เป็นเหตุการณ์ที่พราหมณ์ผัวเมียเก็บเงินไว้นานแล้ว เห็นว่าชูชกไม่มาเอาสักที คิดว่าชูชกคงจะตายไปแล้ว จึงชวนกันนำเงินนั้นออกมาใช้จ่ายเสียจนหมดทั้งสิ้น ครั้นชูชกหวนกลับมาทวงเอาเงินสองผัวเมียก็ตกใจงันงกมิรู้จะทำประการใด พราหมณ์ทั้งสองจึงยกลูกสาวคือนางอมิตดาให้แก่ชูชก กลางภาพเป็นเหตุการณ์ที่ ถัดมาเป็นเรื่องราวที่ชูชกมัดแขนนางอมิตดานำกลับ ขวาในภาพน่าจะเป็นบิดาของนางอมิตดาเศร้าโศกเสียใจที่ต้องเสียงบุตรสาวไป การแต่งกายของนางอมิตดาและมารดาคือ แม่ของอมิตดาใส่เสื้อแขนยาว ส่วนนางอมิตดามีการแต่งกายูปแบบของหญิงในแถบนี้ คือเปลือยอกหรือมีผ้ามาห่มแบบสไบเรียกว่าการห่มแบบ “สะหว้ายแล่ง” หรือ “เบี่ยงบ้าย” ทั้งสองนุ่งผ้าซิ่นที่ในเมืองน่านเรียกว่า “ซิ่นป้อง” เป็นซิ่นที่มีรูปแบบพิเศษซึ่งเป็นซิ่นที่มีลายในแนวขวางลำตัว ดูแล้วคล้ายกับ “ซิ่นต๋า” ของหญิงชาวไทยวนในล้านนา ผ้าซิ่นป้องมีการตกแต่งผ้าซิ่นด้วยการทอกรรมวิธีต่างๆในแนวขวางลำตัวที่ค่อนข้างหลากหลาย ให้เกิดลวดลายเพิ่มเติม พบได้เฉพาะที่เมืองน่านเท่านั้น ไว้ผมมุ่นมวยเรียกว่าเกล้าแบบ “วิดว้อง”ไว้กลางศีรษะ ในส่วนนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีการซ่อมแซมจิตรกรรมี่ผิดไปจากเดิม เนื่องจากรูปแบบของมวยผม มิใช่ทรงมวยผมที่เรียกว่า “วิดว้อง” ที่ต่างกับจิตรกรรมที่เขียนไว้บนฝาด้านิศเหนือ ( ดูรูปแบบมวยผม “วิดว้อง” ของฝาทิศเหนือได้ใน relation )
ส่วนพ่อของนางอมิตดาเปลือยอกไว้ผมสั้นนุ่งผ้าพื้นสีเรียบผืนเดียวที่เรียกว่านุ่งแบบ “นุ่งผ้าต้อย”หรือ“เค็ดม่าม”โดยจะม้วนผ้าเป็นเกลียวสอดระหว่างขาเป็นการนุ่งแบบเดียวกับการถกเขมรหรือโจงกระเบน ชูชกเปลือยอก นุ่งผ้าผืนเดียวที่เรียกว่านุ่งแบบ“นุ่งผ้าต้อย”หรือ“เค็ดม่าม”โดยจะม้วนผ้าเป็นเกลียวสอดระหว่างขาเป็นการนุ่งแบบเดียวกับการถกเขมรหรือโจงกระเบน แต่ที่แตกต่างจากทั่วไปคือ นำผ้าพม่าที่เรียกว่า “ผ้าลุนตยา อเชะ” มาใช้นุ่งแทน ซึ่งการนุ่งผ้าแบบ “เค็ดม้าม” แบบนี้ในพม่าก็มีเช่นกันเรียกการนุ่งผ้าแบบนี้ว่า “คะดาวง์ไจ๊ก์”
รูปแบบการเขียนเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นสกุลช่างท้องถิ่น ที่ได้รับอิทธิพลจากงานศิลปกรรมของทางรัตนโกสินทร์เข้ามาผสมผสาน
Physical Data