Description
Digital Data
ภาพเขียนบริเวณฝั่งซ้าย บริเวณชานหน้าบ้านของคัทธณะกุมาร (บ้านมารดา) ซึ่งเนื้อหาในชาดกในตอนนี้มีอยู่ว่า ครั้นเมื่อคัทธณะกุมารอายุได้ 16 ปี ก็มีข่าวเลื่องลือถึงบุญญาธิการและกำลังวังชามากคัทธณะกุมาร จนไปเข้าพระกรรณของพญาศรีษะเกษ เจ้าผู้ครองเมืองศรีษะเกษ พระองค์จึงใคร่ทอดพระเนตรบุญญาธิการของคัทธณะกุมาร จึงรับสั่งให้ทหารไปเชิญคัทธนกุมารมายังปราสาท เพื่อเเสดงพละกำลังดังที่ชาวเมืองเลื่องลือกันให้ทอดพระเนตร พญาศรีษะเกษจึงตรัสให้คัทธนกุมารใช้กำลังถอนต้นตาล 2 ต้น ด้วยบุญญาธิการและกำลังวังชาที่มากเหนือคนทั่วไป คัทธนกุมารจึงแสดงปาฏิหาริย์โดยการถอนต้นตาลพร้อมกันทีเดียว 2 ต้น แล้วเหาะขึ้นไปบนอากาศทำท่าฟ้อนรำให้พระราชาทอดพระเนตร ปาฏิหาริย์นั้นทำให้ชาวเมืองเกิดความชื่นชมคัทธนกุมารเป็นอันมาก เช่นเดียวกับพระราชาที่รักใคร่เอ็นดูคัทธนกุมารราวกับเป็นโอรสของตน จึงแต่งตั้งให้คัทธนกุมารเป็นอุปราชแสนเมือง แล้วมอบปราสาทหลังหนึ่งให้ ด้วยความเมตตาของพระราชาที่มี คัทธนกุมารจึงรับเอาเเล้วจึงรับเอามารดาของตนมาอยู่ด้วย ครั้นได้นำน้ำวิเศษในคนโฑทิพย์รดลงที่มารดา ด้วยฤทธิ์วิเศษจึงเนรมิตให้มารดากลับกลายเป็นหญิงสาวอีกครั้ง ครั้นเมื่อมารดากลับเป็นหญิงสาวเเล้วจึงพามารดาเข้าเมือง เพื่อเข้าเฝ้าถวายตนเป็นบาทบริจาริกาในพญาศรีษะเกษ
ในบริเวณนี้ภาพเขียนเสียหายไปค่อนข้างมาก เหลือเพียงภาพเขียนที่เลือนลาง เเต่ก็ยังพอสันนิษฐานได้ว่าเป็นภาพเขียนคัทธณะกุมาร ซึ่งเป็นเรื่องราวในตอนที่คัทธณะกุมารนำน้ำทิพย์จากคนโฑวิเศษรดลงที่มารดา เพื่อเนรมิตให้มารดากลับมาเป็นสาวอีกครั้ง
ส่วนภาพเขียนบริเวณด้านหลัง เขียนภาพเหล่าเสนาอมาตย์สี่คนที่กำลังหมอบเฝ้าอยู่บนชานเรือน
บ้าน หรือ เรือนในภาพมีลักษณะเป็นเรือนที่อยู่อาศัยของคนในเมืองน่านในสมัยนั้น คือ มีลักษณะเป็นเรือนยกพื้น หลังคาแฝดเป็นทรงป้าน ฝาเรือนเป็นฝาไม้เข้าช่องสี่เหลี่ยม มีชานด้านบนเรือนยกสูง เรียกว่า “เติ๋น” ในภาษาล้านนา มีชานลดด้านหน้า และมีหลังคาคลุม บริเวณด้านข้างของชานเรือนมีหม้อน้ำสำหรับดื่มไว้ข้างชาน เรียกว่า “ฮ้านน้ำ” ในภาษาล้านนา ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง เเละถือเป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่มีอยู่ในเรือนของชาวไทยยวนและไทลื้อในแถบนี้
Physical Data