ภาพพระบฏวัดป่าหัด ผืนที่ 2

Category:

Description

Digital Data

TITLE:
น่าน
AUTHOR:
หอภาพถ่ายล้านนา โดย มูลนิธิรองศาสตราจารย์ กันต์ พูนพิพัฒน์
KEYWORDS:
DESCRIPTION:

จิตรกรรมภาพพระบฏบนกระดาษสาของวัดป่าหัดภาพนี้ ด้านหน้าเป็นภาพมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ที่ 5 กัณฑ์ชูชก มีความว่า  สมัยนั้น ในแคว้นกาลิงคะ มีพราหมณ์คนหนึ่ง ชื่อว่า ชูชก อยู่ในบ้าน “ทุนวิฐะ”เป็นนักขอทานที่เชี่ยวชาญ เที่ยวขอไปถึงต่างแคว้นก็เก็บทรัพย์ที่เหลือกินเหลือใช้ไว้ได้ถึง 100 กหาปนะ ชูชกได้นำทรัพย์จำนวนนี้ไปฝากพราหมณ์ผัวเมียตระกูลหนึ่งไว้ แล้วเที่ยวขอทานต่อไปอีก ต่อมาพราหมณ์ผัวเมียคู่นั้น ได้เอาทรัพย์ของชูชกไปใช้สอยเสียหาย ครั้นชูชกกลับมาขอทรัพย์คืน ก็ขัดสนจนใจไม่สามารถจะหามาใช้ได้ ต้องยกนางอมิตตดาลูกสาวให้ชูชกแทนเงินที่เอาไปใช้ ชูชกพานางอมิตตดาไปอยู่บ้านทนวิฐะ นางอมิตตดาได้ปฏิบัติชูชกในหน้าที่ภรรยาที่ดีทุกประการ

เมื่อชายในบ้านนั้นเห็นเข้า ก็พากันสรรเสริญ แล้วดุว่าภรรยาของตนที่เกียจคร้าน เอาแต่เที่ยวเล่น สู้นางอมิตตดาเป็นเด็กกว่าก็ไม่ได้ ครั้นหญิงทั้งหลายในบ้านนั้นถูกสามีตำหนิแทนที่จะรู้สึกตัว กลับพากันเคียดแค้นชิงชังนางอมิตตดาชักชวนกันไปด่าว่านางอมิตตดาที่ท่าน้ำอย่างสาดเสียเทเสีย หมายจะให้นางอมิตตดาหนีไปเสีย หรือไม่ก็ควรประพฤติตนเข้าแบบของตน

ในภาพเรื่องราวจะแบ่งเป็นสองส่วนคือ ส่วนล่างเป็นเหตุการณ์ที่นางอมิตดาไปตักน้ำที่ท่าน้ำด้วยความขยันที่เป็นปกติ แต่กลับทำให้หญิงอื่นๆในหมู่บ้านเดือดร้อนเพราะนางเหล่านั้น ล้วนเกียจคร้าน จึงโดนสามีตำหนิว่าร้าย เมื่อได้พบนางอมิตดาที่ท่าน้ำจึงได้เกิดการว่ากล่าว สาปแช่งต่างๆนานนา เพราะทำให้เหล่านางเหล่านั้นเดือดร้อน การด่าทอสาปแช่งในสมัยนั้น รุนแรงขนาดที่สามารถถอนขนเพชร ที่ถือว่าเป็นสิ่งอัปมงคล นำไปปาหรือโปรยใส่ศีรษะผู้อื่น ที่ในภาพคือหญิงคนแรกและตนกลาง ส่วนคนหลังสุดนั้นยกไม้ไล่ตีนางอมิตดา ด้านล่างเป็นแม่น้ำที่เขียนภาพปลาอย่างสวยงามแหวกว่ายอยู่ในลำน้ำ  ครึ่งภาพบนเหตุการณ์ที่นางอมิตดาร้องไห้กลับไปบอดเฒ่าชูชก ว่าโดนรังแกวาร้าย จุงจะให้ชูชกไปขอกัณหาชาลีจากพระเวสสันดร เพื่อมารับใช้นาง ในภาพนี้มีอักษรล้านนากำกัอยู่ ในบริเวณด้านล่างอ่านได้ความว่า “นางพรหมมณีด่า นางอมิตดาแล” แปลได้ว่า “นางอมิตดาโดนเหล่าหญิงที่เป็นภรรยาพราหมณ์ด่าทอสาปแช่ง” 

การแต่งกายของนางอมิตดาและเหล่าหญิงเมียพราหมณ์ เป็นแบบสาวชาวเมืองปัวในยุคนั้นคือ เปลือยอกนุ่งซิ่นที่เรียกว่า “ซิ่นป้อง”  เป็นซิ่นที่มีลักษณะเฉพาะที่สามารถพบได้ในแถบเมืองน่านเท่านั้น เป็นซิ่นที่มีแนวขวางลำตัวแบบ “ซิ่นต๋า” ของหญิงชาวไทยวน และ “ซิ่นเคื่อง” ของหญิงชาวไทลื้อ แต่“ซิ่นป้อง” มีการออกแบบโครงสร้างใหม่และตกแต่งด้วยกรรมวิธีการทอหลากหลายวิธี ทำให้เป็นซิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน ในภาพน่าจะตกแต่งลวดลายด้วยกรรมวิธีหลากหลายกรรมวิธีตั้งแต่ กรรมวิธีการทอแบบ “ล้วง” ที่ทำให้เกิดลวดลายคล้ายคลื่นในช่วงกลางซิ่นสลับเป็นช่วงๆ ส่วนด้านล่างน่าจะเกิดจากกรรมวิธีการทอแบบขิด หรือที่ในเมืองน่านเรียกว่า “เก็บมุก ยกมุก หรือเก็บดอก” ทำผมมุ่นมวยเรียกว่าเกล้าแบบ “วิดว้อง”ไว้กลางศีรษะ มัดมวยด้วยสร้อยคำหรือสร้อยทอง และไม่สวมรองเท้า นางอมิตดาหาบกระปุงน้ำ ที่ในลานนาเรียกว่า “น้ำถุ้ง”เป็นภาชนะสานด้วยไม้ไผ่ก้นแหลม ยาแนวกันรั่วด้วยชันและน้ำมันยาง มีงวงที่ทำจากไม้จริงขัดกันสำหรับผูกเชือกหย่อนลงไปตักน้ำขึ้นมาจากบ่อหรือแม่น้ำ ลำธาร    

ส่วนภาพจิตรกรรมในส่วนด้านบน เป็นเหตุการณ์ตอนที่นางอมิตดากลับมาฟ้องชูชกว่าโดนเหล่าเมียพราหมณ์ รุมทำร้ายและด่าทอ ในบริเวณด้านบนมีอักษรล้านนาเช่นกัน อ่านได้ความว่า “เมปู่พรามไห้ส่อผัวมันแล” แปลได้ว่า “นางอมิตดากลับมาฟ้องเฒ่าชูชก ว่าโดนเหล่าเมียพราพมณ์รุมทำร้ายและด่าทอ” นางอมิตดาจึงให้ชูชก ไปขอกัณหาชาลีจากพระเวสสันดร เพื่อมาเป็นข้ารับใช้  การแต่งกายของนางอมิตดาและเหล่าหญิงเมียพราหมณ์ เป็นแบบสาวชาวเมืองปัวในยุคนั้นคือ เปลือยอกนุ่งซิ่นที่เรียกว่า “ซิ่นป้อง”  เป็นซิ่นที่มีลักษณะเฉพาะที่สามารถพบได้ในแถบเมืองน่านเท่านั้น เป็นซิ่นที่มีแนวขวางลำตัวแบบ “ซิ่นต๋า” ของหญิงชาวไทยวน และ “ซิ่นเคื่อง” ของหญิงชาวไทลื้อ แต่“ซิ่นป้อง” มีการออกแบบโครงสร้างใหม่และตกแต่งด้วยกรรมวิธีการทอหลากหลายวิธี ทำให้เป็นซิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน ในภาพน่าจะตกแต่งลวดลายด้วยกรรมวิธีหลากหลายกรรมวิธีตั้งแต่ กรรมวิธีการทอแบบ “ล้วง” ที่ทำให้เกิดลวดลายคล้ายคลื่นในช่วงกลางซิ่นสลับเป็นช่วงๆ ส่วนด้านล่างน่าจะเกิดจากกรรมวิธีการทอแบบขิด หรือที่ในเมืองน่านเรียกว่า “เก็บมุก ยกมุก หรือเก็บดอก” ทำผมมุ่นมวยเรียกว่าเกล้าแบบ “วิดว้อง”ไว้กลางศีรษะ มัดมวยด้วยสร้อยคำหรือสร้อยทอง และไม่สวมรองเท้า นางอมิตดาหาบกระปุงน้ำ ที่ในลานนาเรียกว่า “น้ำถุ้ง”เป็นภาชนะสานด้วยไม้ไผ่ก้นแหลม ยาแนวกันรั่วด้วยชันและน้ำมันยาง มีงวงที่ทำจากไม้จริงขัดกันสำหรับผูกเชือกหย่อนลงไปตักน้ำขึ้นมาจากบ่อหรือแม่น้ำ ลำธาร การแต่งกายของชูชกนุ่งผ้าที่มีลวดลายผืนเดียวที่เรียกว่านุ่งแบบ“นุ่งผ้าต้อย”หรือ“เค็ดม่าม”โดยจะม้วนผ้าเป็นเกลียวสอดระหว่างขาเป็นการนุ่งแบบเดียวกับการถกเขมร

PUBLISHER:
หอภาพถ่ายล้านนา โดย มูลนิธิรองศาสตราจารย์ กันต์ พูนพิพัฒน์
OTHER CONTRIBUTORS:
หอภาพถ่ายล้านนา โดย มูลนิธิรองศาสตราจารย์ กันต์ พูนพิพัฒน์
DATE:
04/07/2565
RESOURCE TYPE:
ภาพเขียนจิตรกรรมบนกระดาษสา (พระบฏ)
FORMAT:
Image/jpeg
RESOURCE IDENTIFIER:
คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิหอภาพถ่ายล้านนา ในกำกับของกรรมการอำนวยการหอภาพถ่ายล้านนา
SOURCE:
ภาพเขียนจิตรกรรมบนกระดาษสา (พระบฏ)
LANGUAGE:
ไทย/อังกฤษ
RELATION:
COVERAGE:
วัดป่าหัด อำเภอปัว จังหวัดน่าน ภาคเหนือ ประเทศไทย
RIGHT MANAGEMENT:
หอภาพถ่ายล้านนา โดย มูลนิธิรองศาสตราจารย์ กันต์ พูนพิพัฒน์

Physical Data

COLLECTION NAME:
น่าน
IMAGE CODE:
000
SUBJECT AGE:
ปีพุทธศักราช 2406
CATEGORY:
ภาพเขียนจิตรกรรมบนกระดาษสา (พระบฏ)
PROVENANCE:
ศาสตราจารย์กันต์ พูนพิพัฒน์
COVERAGE:
วัดป่าหัด อำเภอปัว จังหวัดน่าน ภาคเหนือ ประเทศไทย view map
ORIGINAL SIZE:
พระบฏทั้งผืน ขนาด 35.5 x 57.5 cm
DIGITAL SIZE:
12,500×15,000 Pixel